จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

คำถาม นั่งคร่อมบนรถจักรยานยนต์ พารถเคลื่อนที่ไปจากที่จอดแล้ว แต่สตาร์ทรถไม่ติด เป็นความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จหรือพยายาม
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 3463/2554 การที่จำเลยไปนั่งคร่อมบนรถจักยานยนต์ของผู้เสียหาย เป็นการลงมือกระทำความผิดฐานลักทรัพย์แล้ว แม้จำเลยจะสตาร์ทเครื่องด้วยเท้าไม่ติดและต่อสายตรงไม่สำเร็จ แต่จำเลยได้พารถเคลื่อนที่ไปจากที่จอดไว้ 5 ถึง 10 เมตร เป็นการพาทรัพย์เคลื่อนที่ไปได้แล้ว การกระทำของจำเลยเป็นความผิดสำเร็จฐานลักทรัพย์
คำถาม คำว่า”ทรัพย์ของผู้อื่น”ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์มีความหมายอย่างไร
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
มาตรา 358 ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่ เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
คำพิพากษาฎีกาที่ 9270/2554 องค์ประกอบความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์นั้นต้องกระทำต่อทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย คำว่า “ ทรัพย์ของผู้อื่น” หมายความรวมถึงบุคคลที่ได้รับมอบหมายโดยตรงจากเจ้าของทรัพย์ให้เป็นผู้ครอบครองดูแลรักษาทรัพย์นั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่ารถยนต์กระบะคันดังกล่าวเป็นของบิดาผู้เสียหายที่ 1 และเป็นรถยนต์ที่ใช้ในครอบครัวของผู้เสียหายที่ 1 ดังนั้นแม้ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรของเจ้าของรถยนต์กระบะสามารถใช้รถยนต์คันดังกล่าวได้ทุกเวลาก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงสิทธิใช้รถยนต์กระบะในฐานะบุตรเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าบิดาของผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์กระบะได้มอบหมายโดยตรงให้ผู้เสียหายที่ 1 เป็นผู้ครอบครองดูแลรักษาทรัพย์ดังกล่าวโดยอาศัยสิทธิของเจ้าของทรัพย์ผู้เสียหายที่ 1 จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย และเมื่อปรากฏว่าบิดาของผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงไม่ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนไว้ พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้และพนักงานอัยการไม่มีสิทธิฟ้องในข้อหาฐานทำให้เสียทรัพย์ ตาม ป.อ.มาตรา 358 ได้
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 1307/2554 ในขณะเกิดเหตุบริษัท ว. จำกัด และจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นผู้ครอบครองสินค้าปุ๋ยเคมีไว้แทนบริษัท ท. จำกัด (มหาชน) ดังนี้ เมื่อเกิดเหตุบริษัท ท. จำกัด (มหาชน) จึงเป็นผู้เสียหายด้วย และสำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 นั้น เป็นลูกจ้างของบริษัท ว. จำกัด มีหน้าที่ควบคุมหรือบรรทุกสินค้าดังกล่าวไปส่งที่สถานีสินค้าของผู้เสียหาย การครอบครองของจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นการครอบครองแทนไว้ชั่วคราวชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น อำนาจการครอบครองสินค้าที่แท้จริงยังอยู่กับผู้เสียหายเมื่อจำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกับพวกเอาทรัพย์สินดังกล่าวไปโดยทุจริตจึงเป็นการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์
คำถาม การขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายจะใช้ถ้อยคำทำกิริยาหรือทำประการใดให้เข้าใจได้เช่นนั้น ๆ ได้หรือไม่ หรือจะต้องเป็นการขู่ตรง ๆ เท่านั้น
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 7890/2554 ผู้เสียหายไม่รู้จักจำเลยกับพวก การที่พวกจำเลยขับรถแซงและปาดหน้ารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายเพื่อให้หยุดรถทันทีและตะคอกด่าพร้อมกับพูดว่ามีอะไรส่งมาให้หมด โดยจำเลยกับพวกแสดงสีหน้าขึงขัง แม้พวกจำเลยจะไม่ได้พูดว่าหากไม่ส่งสิ่งของให้จะทำร้ายผู้เสียหาย แต่พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการคุกคามผู้เสียหายให้กลัวว่าจะถูกทำร้ายหากไม่ส่งทรัพย์สินให้ จึงเป็นการขู่เข็ญผู้เสียหายทั้งกิริยาและวาจาโดยมีความหมายว่า ถ้าผู้เสียหายไม่ให้สิ่งของใดแล้วผู้เสียหายจะถูกทำร้าย จนผู้เสียหายกลัวต้องรีบส่งกระเป๋าสะพายให้จำเลย หาใช่เรื่องที่ผู้เสียหายกลัวไปเองไม่ การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์อันเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ มิใช่ความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ เมื่อขณะเกิดเหตุจำเลยยังคงนั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์คันเดียวกับพวกและแม้จำเลยไม่ได้พูดกับผู้เสียหาย แต่เมื่อผู้เสียหายยื่นทรัพย์ให้จำเลยก็รับไว้แล้วก็ขับรถจักรยานยนต์หนีไปด้วยกันทันที ถือเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำอันเป็นการร่วมกันกระทำความผิด (คำพิพากษาฎีกาที่ 868/2554 วินิจฉัยเช่นกัน)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น