ผู้เสียหายฟ้องคดีแล้วตายลง (มาตรา 29)
หลักเกณฑ์ เมื่อผู้เสียหาย(ที่แท้จริง) ยื่นฟ้องแล้วตายลง ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา จะดำเนินคดีต่างผู้ตายต่อไปก็ได้
ถ้าผู้เสียหายที่ตายนั้นเป็นผู้เยาว์ ผู้วิกลจริต หรือผู้ไร้ความสามารถ ซึ่งผู้แทนโดยชอบธรรมผู้อนุบาล หรือผู้แทนเฉพาะคดีได้ยื่นฟ้องแทนไว้แล้ว ผู้ฟ้องแทนนั้นจะว่าคดีต่อไปก็
- ตามมาตรา 29 เป็นกรณีที่ผู้เสียหายที่แท้จริงเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีเอง และน่าจะรวมถึงกรณีที่ผู้เสียหายได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการแล้วตายลงด้วย
- ** การเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตายนี้ ผู้เสียหายต้องได้ยื่นฟ้องไว้แล้วก่อนตายลงเท่านั้น ไม่รวมถึงการแจ้งความร้องทุกข์โดยยังไม่ฟ้องคดีด้วย ดังนั้นการที่ผู้เสียหายเพียงแต่แจ้งความร้องทุกข์ไว้ท่านั้น บุคคลตามมาตรา 29 ไม่มีอำนาจดำเนินคดีต่อไปได้ (ฎ. 5162/47)
- ผู้เสียหายที่ฟ้องคดีแล้วตายตามมาตรา 29 นี้ หมายถึงตัวผู้เสียหายที่แท้จริงเท่านั้น ไม่รวมถึงผู้มีอำนาจจัดการแทนด้วย ถ้าผู้จัดการแทนถึงแก่ความตาย บุพการี ผู้สืบสันดาน สามี หรือภริยาของผู้จัดการแทน จะดำเนินคดีต่างผู้ตายตามมาตรา 29 ไม่ได้ (ฎ. 1187/43, 2331/21)
- ** ตามมาตรา 29 นี้ ผู้เสียหายจะต้องได้ฟ้องคดีไว้แล้วตายลง ถ้าผู้เสียหายตายเสียก่อนฟ้องคดี อำนาจฟ้องคดีไม่เป็นมรดกตกทอด ไม่เข้ากรณีมาตรา 29 นี้ (ฎ. 3395/25, 2219/21)
- ผู้บุพการี และผู้สืบสันดาน ที่จะมีอำนาจดำเนินคดีต่างผู้ตาย ตามมาตรา 29 หมายถึงผู้บุพการี หรือผู้สืบสันดานตามความเป็นจริง ( เช่นเดียวกับบุพการี และผู้สืบสันดาน ตามมาตรา 5(2) ) ดังนี้บุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้เสียหายก็มีสิทธิดำเนินคดีต่อไปได้ และถ้าบุตรยังเป็นผู้เยาว์อยู่ มารดาในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมก็ดำเนินคดีแทนผู้เยาว์ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 56 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 โดยมารดาไม่ต้องขออนุญาตเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของผู้เยาว์ต่อศาลก่อน(ฎ. 5119/30) กรณีถ้าเป็นสามี ภริยา ของผู้เสียหาย ตามมาตรา 29 วรรคแรกนี้ น่าจะต้องเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายด้วย (เทียบ ฎ. 1056/03) ในมาตรา 5(2)) ดังนั้น ตาม ฎ. 5119/30 นี้ ภริยาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของของผู้เสียหาย (มารดาของผู้เยาว์) จึงไม่อาจเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตายในฐานะภริยาของผู้ตายได้ แต่ที่เข้ามาในคดีได้ก็เนื่องจากเป็นมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ ซึ่งเป็นบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้เสียหาย ทั้งนี้อาศัยอำนาจตาม ป.วิ.พ. มาตรา 56 ประกอบ ป.วิ.อ.มาตรา 15
- ** ผู้ที่มีอำนาจดำเนินคดีต่างผู้ตายตามมาตรา 29 มีเฉพาะผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามี และภริยา เท่านั้น ดังนี้ พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ตาย และเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ก็ไม่มีอำนาจเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตาย (ฎ. 2242/33)
- มาตรา 29 วรรคแรก เป็นเรื่องผู้เสียหายที่แท้จริงยื่นฟ้องแล้วตายลง ส่วนมาตรา 29 วรรคสอง เป็นกรณีผู้แทนโดยชอบธรรมฯ หรือผู้แทนเฉพาะคดี เป็นผู้ยื่นฟ้องแทนผู้เสียหายไว้แล้วผู้เสียหายนั้นตายลง ผู้ฟ้องคดีแทนจึงว่าคดีต่อไปก็ได้
- เฉพาะกรณีผู้แทนเฉพาะคดีจะดำเนินคดีต่อไปได้ตามมาตรา 29 วรรคสองนี้ ต้องเป็นกรณีที่ศาลได้ตั้งผู้แทนเฉพาะคดีของผู้เสียหายตามมาตรา 6 ไว้แล้วก่อนที่ผู้เสียหายจะตายลง ถ้าผู้เสียหายตายระหว่างการร้องขอเป็นผู้แทนเฉพาะคดี ผู้นั้นจะดำเนินคดีต่อไปไม่ได้ (ฎ. 3432/36, 1625/32)
- บทบัญญัติมาตรา 29 นำไปใช้ในกรณีร้องขอให้ปล่อยเนื่องจากการคุมขังผิดกฎหมายตามมาตรา 90 ด้วย (ฎ. 392/22) และนำไปใช้กับกระบวนพิจารณาในชั้นร้องขอคืนของกลางได้ด้วย (ฎ. 1595/28)
- บิดาฟ้องมารดาเป็นจำเลย ผู้สืบสันดานของจำเลยจะขอรับมรดกความไม่ได้ เพราะเป็นคดีอุทลุม (ฎ. 1551/94 ป.)
- การขอเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตายต่อไปตามมาตรา 29 นี้ มิได้กำหนดเวลาไว้ จะนำระยะเวลาการรับมรดกความในคดีแพ่งซึ่งมีกำหนด 1 ปี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 42 มาใช้บังคับไม่ได้ (คร.1595/28)
- ผู้ที่ได้รับมรดกความอาจไม่ดำเนินคดีต่อไป แต่ขอให้ศาลจำหน่ายคดีก็ได้ (ฎ. 3619/43)
- กรณีที่ผู้เสียหายยื่นฟ้องแล้วตายลงนั้น กฎหมายไม่ได้บังคับให้บุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา 29 ต้องเข้ามาดำเนินคดีต่างผู้ตาย ถ้าไม่มีผู้ใดเข้ามาเลย กรณีที่ผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วม ก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะพนักงานอัยการดำเนินคดีต่อไปได้ แต่ในกรณีที่ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องคดีเอง ถ้าการตายของโจทก์ไม่เป็นเหตุขัดข้องในการดำเนินคดีต่อไป ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิจารณาคดีต่อไปได้ เช่น กรณีที่โจทก์ถึงแก่ความตายในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา ซึ่งไม่ต้องมีการพิจารณาสืบพยานกันอีก ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาก็พิจารณาพิพากษาคดีต่อไปได้ (ฎ. 814/20 ป., 1244/04)
- ในคดีความผิดต่อส่วนตัว โจทก์ตายหลังจากศาลฎีกาส่งคำพิพากษาให้ศาลชั้นต้นอ่าน แม้ไม่มีผู้รับมรดกความ คดีก็ไม่ระงับไป (ฎ. 217/06 ป.) เพราะถือว่า ดำเนินคดีมาครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น