คดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3
กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้รับอันตรายสาหัส และได้รับอันตรายแก่กาย
ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291300, 390
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4),157
ไม่มีประเด็นโดยตรงว่าจำเลยที่ 3 แข่งรถในทาง แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1
พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 3 กระทำความผิดตามฟ้อง
โดยปรากฏในคำพิพากษาว่า จำเลย (จำเลยที่ 3 ในคดีนี้) กับ ส.ขับรถแข่งกันในทาง
เป็นการหยิบยกข้อความตามรายงานการสืบเสาะและพินิจมาประกอบการใช้ดุลพินิจในการลงโทษจำเลย
จึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46
ที่ศาลในคดีส่วนแพ่งจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีในส่วนอาญาถึงที่สุดว่าจำเลยที่
3 นำรถยนต์กระบะที่จำเลยที่ 1
เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ไปขับแข่งกันจนเกิดอุบัติเหตุ จำเลยที่ 1
และที่ 3 มิได้ให้การสู้คดี ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1และที่
3 ต้องร่วมรับผิดคืนเงินให้โจทก์ เท่ากับเป็นการถือเอาข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค
1 ในคดีส่วนอาญามารับฟังวินิจฉัยความรับผิดของจำเลยที่
1 และที่ 3
จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทกฎหมาย ดังกล่าว
ขณะเกิดเหตุจำเลยที่
3 ขับรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ไปในการแข่งขันความเร็ว
ต้องด้วยข้อยกเว้นตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถที่การประกันภัยไม่คุ้มครอง
โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนใด ๆ ในกรณีนี้
เมื่อโจทก์ได้จ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนบางส่วนให้แก่จำเลยที่ 1
ผู้เอาประกันภัย และบางส่วนให้แก่บริษัท ส.
เพื่อนำไปชดใช้แก่ผู้ประสบภัยไปก่อนแล้ว จำเลยที่ 1
ซึ่งต้องรับผิดต่อผู้ประสบภัยต้องใช้เงินจำนวนนั้นคืนโจทก์ตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ
ข้อ 19 โจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยที่
1 และที่ 3
โดยบรรยายฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นคู่สัญญากันตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ
พ.ศ. 2535 โดยโจทก์รับประกันการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถยนต์คันเกิดเหตุของจำเลยที่
1 ต่อมารถยนต์ดังกล่าวชนรถยนต์คันอื่นมีผู้ถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บ
จำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัยได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนจากโจทก์เพื่อชดใช้แก่ผู้ประสบภัยโดยโจทก์ไม่มีความรับผิดต้องชดใช้เนื่องจากการประกันภัยไม่คุ้มครองโจทก์มีสิทธิเรียกเงินคืนอันเป็นการฟ้องเรียกเงินคืนโดยอาศัยความผูกพันตามสัญญาประกันภัย
ดังนี้ จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวที่เป็นคู่สัญญากับโจทก์และเป็นผู้ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนไป
ส่วนจำเลยที่ 3 มิได้เป็นคู่สัญญาและไม่มีนิติสัมพันธ์ใดๆกับโจทก์ทั้งมิได้รับเงินไปจากโจทก์ด้วยจำเลยที่
3 จึงไม่มีความรับผิดต่อโจทก์ แม้จำเลยที่ 3
มิได้ให้การต่อสู้คดีไว้ แต่เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา
142 (5)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น