จำนวนการดูหน้าเว็บรวม
วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
การเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญาและ การแก้ต่างคดีอาญาในเจ้าพนักงานโดยพนักงานอัยการ กุลพล พลวัน*
การเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญา โดยพนักงานอัยการ และการแก้ต่างคดีอาญาให้แก่พนักงานโดยพนักงานอัยการ เป็นภาระหน้าที่ที่สำคัญของอัยการในการคุ้มครองกระบวนการยุติธรรมของรัฐ และการรักษาผลประโยชน์ของรัฐ การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวมีข้อกฎหมายที่น่าสนใจหลายประการ ซึ่งในทางปฏิบัติมิได้นำมาวิเคราะห์พิจารณาทางวิชาการกันเท่าที่ควร ดังนั้น ผู้เขียนจึงขอนำประเด็นข้อกฎหมายมาวิเคราะห์เพื่อประโยชน์ในทางวิชาการดังต่อไปนี้
1. การเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญาของผู้เสียหายโดยพนักงานอัยการ
การเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญาของพนักงานอัยการเป็นไปตามมาตรา 31 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งบัญญัติว่า
“คดีอาญาที่มิใช่ความผิดต่อส่วนตัวซึ่งผู้เสียหายยื่นฟ้องแล้ว พนักงานอัยการจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดก่อนคดีเสร็จเด็ดขาดก็ได้”
เหตุผลที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 31 บัญญัติให้พนักงานอัยการเข้าร่วมเป็นโจทก์กับผู้เสียหาย ก็เนื่องจากมาตรา 28 ซึ่งได้บัญญัติให้ผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องคดีอาญาได้อย่างกว้างขวางเช่นเดียวกับพนักงานอัยการนั้น อาจมีผลเสียติดตามมาหลายประการ เช่น
ประการแรก อาจมีการฟ้องคดีอาญากันอย่างไม่มีเหตุผลสมควร อันมีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของผู้ถูกฟ้อง แม้ว่ามาตรา 162 จะบัญญัติให้มีการไต่สวนมูลฟ้องเสียก่อน และศาลฎีกาได้วางบรรทัดฐานจำกัดสิทธิการฟ้องคดีของผู้เสียหายไว้หลายประการ เช่น ต้องเป็นผู้เสียหายโดยตรงหรือ ต้องเป็นผู้เสียหารโดยนิตินัย หรือจำแนกประเภทคดีอาญา ว่า คดีอาญาประเภทใดบ้างที่ทั้งพนักงานอัยการและผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องได้ทั้ง 2 ฝ่าย ปกติได้แก่คดีอาญาที่เป็นความผิดในตัวเอง (MALA IN SE) เช่น คดีปล้น ลักทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย ฯลฯ หรือคดีอาญาประเภทใดบ้างที่รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย ปกติได้แก่คดีอาญาที่มิได้เป็นความผิดในตัวเองแต่เป็นความผิดเพราะกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้กระทำ (MALA PROHIBITA) เช่น คดีอาวุธปืน ยาเสพติด การพนัน ฯลฯ
ประการที่สอง การฟ้องคดีอาญาโดยผู้เสียหายในคดีอาญาแผ่นดินนั้น อาจก่อนให้เกิดความเสียหายให้แก่คดีอาญาของรัฐได้เสมอทั้งโดยเจตนาหรือไม่เจตนา เช่น
กรณีไม่เจตนา ปกติจะเกิดจากศักยภาพของผู้เสียหายในการแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยในศาลที่มีไม่พอเพียง เพราะผู้เสียหายไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการออกหมายเรียก หมายค้นการยึดอายัด การออกหมายเรียกพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ รวมทั้งการใช้กลไกของรัฐที่จำเป็น เช่น การพิสูจน์หลักฐาน การพิสูจน์ทางนิติเวช เป็นต้น ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คดีที่ยุ่งยาก ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ผู้เสียหายจะกระทำได้ยากมาก ส่วนใหญ่ผู้เสียหายจะกระทำได้ดีในคดีที่มีเอกสารหลักฐานชัดแจ้ง เช่น หมิ่นประมาท ปลอมเอกสาร ฉ้อโกง ยักยอก ฯลฯ และเมื่อพยานหลักฐานมีไม่เพียงพอพิสูจน์ความผิดจำเลย ศาลก็จำต้องพิพากษายกฟ้อง แม้อุทธรณ์ – ฎีกาต่อไป ก็ไม่เกิดผลเปลี่ยนแปลง
กรณีที่เกิดขึ้นโดยเจตนา อาจจะเกิดจากการสมยอมกันระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยในคดีอาญาแผ่นดินที่ยอมความกันไม่ได้ แต่คู่กรณีสามารถตกลงกันได้แล้ว จึงใช้วิธีการให้ผู้เสียหายฟ้องผู้กระทำผิดแล้วดำเนินคดีอาญาในศาลอย่างไม่สุจริตเพื่อให้ศาลพิพากษายกฟ้องตามข้อตกลงกัน
การที่ศาลพิพากษายกฟ้องจำเลยในคดีที่ผู้เสียหายเป็นโจทก์ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็จะเกิดผลเสียหายอย่างยิ่งแก่กระบวนการยุติธรรมของรัฐ เพราะจะทำให้สิทธิฟ้องคดีอาญาระงับไป ตามมาตรา 39(4) การฟ้องผู้กระทำผิดจึงไม่อาจกระทำได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ดี ปัญหาเรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นในประเทศที่ใช้หลักการฟ้องคดีโดยรัฐ คือ โดยอัยการแต่เพียงผู้เดียว เช่น สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา หรือญี่ปุ่น ฯลฯฃ
การเข้าร่วมเป็นโจทก์ของพนักงานอัยการในประเทศไทยนั้น มาตรา 31 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามีวัตถุประสงค์ “เข้าควบคุมเพื่อคุ้มครอง” คดีอาญาของรัฐเป็นประการสำคัญ กล่าวคือ หากมีข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าการดำเนินคดีอาญาของผู้เสียหายจะก่อให้เกิดความเสียหายให้แก่กระบวนการยุติธรรมส่วนรวมของรัฐ ไม่ว่าโดยเจตนาหรือไม่มีเจตนาก็ตาม พนักงานอัยการก็จะใช้ดุลพินิจว่าสมควรเข้าร่วมเป็นโจทก์หรือไม่ ดังนั้น กฎหมายจึงบัญญัติด้วยข้อความว่า “คดีอาญาที่มิใช่ความผิดต่อส่วนตัว ซึ่งผู้เสียหายยื่นฟ้องแล้ว พนักงานอัยการจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใด ก่อนคดีเสร็จเด็ดขาดก็ได้” ผลในทางกฎหมายจึงมีดังนี้
1. การวินิจฉัยว่าสมควรเข้าร่วมเป็นโจทก์หรือไม่ของพนังงานอัยการ ถือเป็นดุลพินิจอิสระในการสั่งคดีอย่างหนึ่งของพนักงานอัยการ ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 255 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย ซึ่งบัญญัติว่า “พนักงานอัยการมีอิสระในการพิจารณาสั่งคดีและการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปโดยเที่ยงธรรม”
2. การใช้ดุลพินิจว่าสมควรเข้าร่วมเป็นโจทก์หรือไม่ เป็นการพิจารณาจากข้อเท็จจริงเป็นเรื่อง ๆ ไป ว่ากรณีน่าเชื่อว่าผู้เสียหายจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่กระบวนการยุติธรรมโดยรวมของรัฐหรือไม่ มิใช่ว่าเมื่อมีผู้เสียหายฟ้องคดีอาญาแผ่นดินด้วยตนเองแล้ว พนักงานอัยการต้องเข้าร่วมเป็นโจทก์ทุกคดี ซึ่งมีเหตุผลสำคัญดังต่อไปนี้
2.1 การที่ผู้เสียหายใช้สิทธิฟ้องคดีอาญาต่อศาลโดยตรง ย่อมถือว่าผู้เสียหายสมัครใจใช้วิธีการนำคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาลโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมตามปกติของรัฐ ซึ่งจะมีการร้องทุกข์หรือกล่าวโทษและผ่านขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ พนักงานสอบสวน – พนักงานอัยการ – ศาล ดังนั้น จึงสมควรปล่อยให้ผู้เสียหายดำเนินคดีไปตามวิธีการที่ตนเห็นชอบจนถึงที่สุด โดยถือว่า กระทำการแทนรัฐไปโดยอนุโลม เว้นแต่รัฐจะเห็นว่า การดำเนินคดีนั้น ๆ อาจก่อให้เกิดความเสียหาย จึงสมควรเข้าไปแทรกแซงเพื่อคุ้มครองกระบวนการยุติธรรมส่วนรวมของรัฐไว้
วิธีการใช้ดุลพินิจดังกล่าวนี้ ก็ได้ใช้กับการสอบสวนคดีอาญาของพนักงานสอบสวนเช่นเดียวกัน เนื่องจากการใช้ดุลพินิจทำการสอบสวนของพนักงานสอบสวนนั้น เป็นไปตามหลักกฎหมาย (Legality Principle) กล่าวคือ เมื่อ “เกิด อ้าวว่าเกิด หรือเชื่อว่าเกิด” คดีอาญาแล้ว พนักงานสอบสวนมีหน้าที่ต้องทำการสอบสวนเสมอ เว้นแต่กรณีที่มีกฎหมายบัญญัติชัดแจ้งว่า ให้ใช้ดุลพินิจที่จะไม่ทำการสอบสวนก็ได้ และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามีอยู่กรณีเดียวคือ ตามมาตรา 122 ซึ่งบัญญัติว่า “พนักงานสอบสวนจะไม่ทำการสอบสวนในกรณีต่อไปนี้ ก็ได ฯลฯ”
(2.) เมื่อผู้เสียหายฟ้องคดีเสียเองโดยมิได้ร้องทุกข์ก่อน ฯลฯ
2.2 การที่ผู้เสียหายเรียกร้องให้พนักงานอัยการเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีของตนเป็นเพียงข้อมูลให้ทราบว่า ได้มีการฟ้องคดีอาญาโดยผู้เสียหายเท่านั้น จากนั้นพนักงานอัยการจึงจะใช้ดุลพินิจตามมาตรา 31 ว่าสมควรเข้าร่วมเป็นโจทก์หรือไม่ มิฉะนั้น จะเป็นช่องทางให้ผู้เสียหายบางคน ใช้วิธีการฟ้องคดีอาญาเองแทนวิธีการดำเนินคดีอาญาตามปกติทั่วไป แล้วเรียกร้องให้พนักงานอัยการเข้าร่วมเป็นโจทก์เพื่อสร้างความน่าเชื่อให้แก่การฟ้องคดีอาญาของตน และอาจผลักภาระให้แก่พนักงานอัยการดำเนินคดีอาญาแทนตนในศาลต่อไปก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรให้เกิดขึ้น
2.3 กรณีพนักงานอัยการเข้าร่วมเป็นโจทก์นั้น ก็อาจก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดได้ เพราะหากคดีดังกล่าวผ่านกระบวนการทางพนักงานสอบสวน จนถึงพนักงานอัยการนั้นมีขั้นตอนการตรวจสอบตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาจำนวนมาก เพราะขั้นตอนการรวบรวมพยานหลักฐานในชั้นพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการจะใช้ระบบไต่สวนคือ ต้องแสวงหาพยานหลักฐานทุกชนิดเพื่อพิสูจน์ความจริง ดังจะเห็นได้จากมาตรา 131 บัญญัติว่า “ให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิดเท่าที่สามารถจะทำได้เพื่อประสงค์จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่าง ๆ อันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหา เพื่อจะรู้ตัวผู้กระทำผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา”
นอกจากนี้ มาตรา 134 วรรคสี่ ยังมีบทบัญญัติให้ผู้ต้องหาสามารถแสดงพยานหลักฐาน ที่เป็นคุณค่าแก่ตนต่อพนักงานสอบสวนได้โดยบัญญัติว่า “พนักงานสอบสวนต้องให้โอกาสผู้ต้องหาที่จะแก้ข้อหาและที่จะแสดงข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์แก่ตนได้” ซึ่งการให้สิทธิผู้ถูกกล่าวหาเช่นนี้ไม่อาจกระทำได้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องของศาลตามมาตรา 165
การแสวงหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมโดยพนักงานอัยการตามมาตรา 143 ไม่ว่าโดยพนักงานอัยการเห็นสมควรเอง หรือโดยมีผู้ร้องขอความเป็นธรรม ก็ใช้หลักการตามมาตรา 131 และมาตรา 134 เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักสากลที่ว่าอำนาจการสอบสวนและอำนาจฟ้องคดีไม่อาจแบ่งแยกจากกันได้ ซึ่งใช้กันในประเทศที่ให้พนักงานอัยการมีอำนาจร่วมสอบสวนคดีอาญากับพนักงานสอบสวน เช่น สหรัฐอเมริกา เยอรมัน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ฯลฯ และประเทศที่พนักงานอัยการไม่มีอำนาจสอบสวนร่วมกับพนักงานสอบสวน ดังเช่น ประเทศไทย เป็นต้น ดังนั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทยจึงบัญญัติเรื่องอำนาจพนักงานสอบสวนและอำนาจพนักงานอัยการไว้ที่เดียวกันคือใน ภาค 2 (สอบสวน)
แต่การที่พนักงานอัยการเข้าร่วมเป็นโจทก์กับผู้เสียหายตามมาตรา 31 ย่อมทำให้คดีที่บุคคลถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดไม่ได้รับการพิจารณากลั่นกรองทั้งจากพนักงานสอบสวนและจากพนักงานอัยการ ดังนั้น จึงควรใช้วิธีการนี้เฉพาะกรณีจำเป็นอย่างยิ่งเท่านั้น
3. การเข้าร่วมเป็นโจทก์ของพนักงานอัยการตามมาตรา 31 นั้น ไม่จำต้องผ่านการสอบสวนตามมาตรา 120 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพราะมิใช่การเริ่มต้นฟ้องคดีโดยพนักงานอัยการตามมาตรา 120 แต่เป็นกรณีที่ผู้เสียหายได้ฟ้องคดีอาญาก่อนแล้ว เพียงแต่พนักงานอัยการเข้าร่วมเป็นโจทก์เพื่อคุ้มครองกระบวนการยุติธรรมของรัฐเท่านั้น และการเข้าร่วมเป็นโจทก์นั้น ต้องกระทำโดยเร่งด่วนเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายในระหว่างการพิจารณาคดีของศาล หากจำต้องรอให้มีการสอบสวนคดีเสียก่อน ย่อมไม่ทันการและจะทำให้มาตรการคุ้มครองคดีอาญาของรัฐตามมาตรา 31 ไร้ผลในทางปฏิบัติ นอกจากนี้ ในการที่ผู้เสียหายฟ้องคดีอาญาเอง ต้องมีการไต่สวนมูลฟ้องตามมาตรา 162(1) และมาตรา 165 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งมาตรา 171 วรรคแรก ได้บัญญัติว่า “ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการสอบสวนและการพิจารณา เว้นแต่มาตรา 175 มาบังคับแก่การไต่สวนมูลฟ้องโดยอนุโลม” ดังนั้น การไต่สวนมูลฟ้องของศาล จึงถือว่ามีการสอบสวนทางอ้อมอยู่ด้วยแล้ว
4. การเข้าร่วมเป็นโจทก์นั้นกระทำได้แม้พนักงานอัยการเคยมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีนั้นแล้ว เพราะการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องนั้นไม่ทำให้สิทธิในการฟ้องคดีอาญาระงับไปตามมาตรา 39 สามารถรื้อฟื้นสอบสวนและฟ้องใหม่ได้อีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 147 ดังนั้น หากต่อมาผู้เสียหายนำคดีไปฟ้องเองและมีพฤติกรรมน่าเชื่อว่าจะทำให้คดีนั้นเสียหายเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้อง พนักงานอัยการก็สามารถขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้เช่นเดิม เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่คดีอาญาของรัฐ
5. เมื่อพนักงานอัยการเข้าร่วมเป็นโจทก์แล้ว พนักงานอัยการย่อมใช้อำนาจตามมาตรา 32 เพื่อคุ้มครองมิให้เกิดความเสียหายใด ๆ แก่คดีที่เป็นโจทก์ร่วมกัน เพราะมาตรา 32 บัญญัติว่า“เมื่อพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกัน ถ้าพนักงานอัยการเห็นว่าผู้เสียหายจะกระทำให้คดีของอัยการเสียหายโดยกระทำหรือละเว้นกระทำการใด ๆ ในกระบวนพิจารณา พนักงานอัยการมีอำนาจร้องต่อศาลให้สั่งผู้เสียหายกระทำหรือละเว้นกระทำการนั้น ๆ ได้” การเป็นโจทก์ร่วมนี้เกิดขึ้นได้ทั้งกรณีผู้เสียหายเข้าร่วมเป็นโจทก์กับผู้เสียหาย แต่กฎหมายถือว่าองค์กรอัยการเป็นตัวแทนของรัฐในการตรวจตราควบคุมการดำเนินคดีอาญาของรัฐ ให้เป็นไปโดยสะดวกรวดเร็วและมิให้เกิดความเสียหายแก่การป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและอำนวยความยุติธรรมของรัฐ โดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้เสียหายกระทำหรือละเว้นการกระทำที่จะก่อความเสียหายแก่คดีของอัยการได้
อนึ่ง มีข้อสังเกตว่า ตามมาตรา 32 คำว่า “พนักงานอัยการ” มีความหมายถึงพนักงานอัยการซึ่งเป็นตัวบุคคลผู้เป็นโจทก์ส่วนคำว่า “อัยการ” หมายถึง องค์กรอัยการมิใช่คดีของอัยกาคนใดคนหนึ่ง เพราะตามระบอบอัยการสากลมีหลักตรงกันว่า องค์กรอัยการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะแบ่งแยกมิได้การกระทำของอัยการคนหนึ่งย่อมเป็นการกระทำแทนคณะอัยการทั้งองค์กร ดังนั้นทุกประเทศ อัยการจึงสามารถดำเนินคดีแทนกันได้
อย่างไรก็ดีในทางปฏิบัติพนักงานอัยการยังไม่เคยเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญาของผู้เสียหายเลย จึงไม่มีระเบียบปฏิบัติสำหรับพนักงานอัยการมาก่อน ดังนั้น สมควรที่สำนักงานอัยการสูงสุดจะจัดทำระเบียบปฏิบัติเพื่อให้พนักงานอัยการถือปฏิบัติในมาตรฐานเดียวกันต่อไป
2. การรับแก้ต่างคดีอาญาให้แก่เจ้าพนักงาน
การรับแก้ต่างคดีแพ่งหรือคดีอาญาแก่เจ้าพนักงานเป็นภาระหน้าที่สำคัญของอัยการทุกประเทศในฐานะผู้คุ้มครองผลประโยชน์ของรัฐและสาธารณชน
การแก้ต่างคดีแพ่งหรือคดีอาญาต้องเป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา 11(3) แห่งพระราชบัญญัติพนักงานอัยการคือ “เจ้าพนักงานถูกฟ้องในเรื่องการที่ได้กระทำไปตามหน้าที่” แต่มาตรา 11(3) ให้อยู่ในดุลพินิจของพนักงานอัยการที่จะใช้ดุลพินิจรับแก้ต่างคดีให้หรือไม่ก็ได้ เพราะพนักงานอัยการจะต้องพิจารณาว่ากรณีที่ถูกฟ้องนั้นเป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานได้กระทำไปตามหน้าที่หรือไม่ หากมิใช่เรื่องที่ได้กระทำไปตามหน้าที่ หรือกระทำไปตามหน้าที่แต่ไม่ชอบด้วยหลักนิติธรรม (Rule of Law) ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 3 วรรคสอง บัญญัติว่า “การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม” เช่น ปรากฏหลักฐานชัดแจ้งว่า เจ้าพนักงานจงใจกระทำการผิดขั้นตอนของกฎหมาย เลือกปฏิบัติ หรือจงใจละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ฯลฯ กรณีเช่นนี้ พนักงานอัยการก็อาจใช้ดุลพินิจไม่รับแก้ต่างก็ได้ รวมทั้งกรณีอื่น ๆ เช่น เจ้าพนักงานผู้ขอความช่วยเหลือไม่ให้ความร่วมมือกับพนักงานอัยการในการแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อประกอบการพิจารณาในการดำเนินการต่อสู้คดี หรือเจ้าพนักงานผู้นั้นแต่งตั้งให้ทนายความเอกชนเป็นทนายแก้ต่างคดีของตนร่วมกับพนักงานอัยการ เป็นต้น ฯลฯ
การที่พนักงานอัยการพิจารณารับแก้ต่างคดีให้นี้ มิได้หมายความว่า เจ้าพนักงานผู้นั้นกระทำตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายทุกประการแล้วแต่อย่างใด เพียงแต่พนักงานอัยการเห็นว่า เจ้าพนักงานผู้นั้นถูกฟ้องในเรื่องการที่ได้กระทำไปตามหน้าที่เท่านั้นส่วนการกระทำดังกล่าวจะชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมขึ้นอยู่กับผลคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาล
ดังนั้น หลักฐานชั้นต้นที่สำคัญในการประกอบการพิจารณาของพนักงานอัยการในการรับแก้ต่างคดีก็คือ คำรับรองเป็นหนังสือจากผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานของรัฐที่เจ้าพนักงานผู้นั้นสังกัดอยู่หรือปฏิบัติหน้าที่ให้กับหน่วยงานนั้น ๆ ว่าเจ้าพนักงานผู้นั้นถูกฟ้องในเรื่องการที่ได้กระทำไปตามหน้าที่และขอให้พนักงานอัยการพิจารณารับแก้ต่างคดีให้ด้วย จากนั้น พนักงานอัยการจึงจะทำการแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อประกอบการพิจารณาว่า สมควรรับแก้ต่างคดีให้หรือไม่ รวมทั้งพยานหลักฐาน ที่จะใช้ในการต่อสู้คดีต่อไปด้วย และการใช้ดุลพินิจที่จะรับแก้ต่างให้หรือไม่ ก็ถือเป็นดุลพินิจอิสระที่ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 255 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เช่นเดียวกัน
อนึ่ง มีข้อสังเกตว่า ในทางปฏิบัติพนักงานอัยการมักจะใช้ดุลพินิจรับแก้ต่างเจ้าพนักงานเกือบทั้งหมด ซึ่งน่าจะมีการทบทวนในเรื่องนี้เช่นกันว่า ในการรับแก้ต่างคดีให้นั้นพนักงานอัยการควรพิจารณาโดยละเอียดและเคร่งครัดพอสมควร โดยเฉพาะการพิจารณาว่าการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานผู้นั้นเป็นไปตามหลักแห่งนิติธรรม ตามมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือไม่ เพื่อวางกรอบหรือแนวทางปฏิบัติให้แก่เจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ มิฉะนั้นเจ้าพนักงานหลายคนอาจจะไม่ให้ความสำคัญแก่เรื่องนี้และใช้อำนาจตามอำเภอใจเพราะมั่นใจว่าหากราษฎรถูกละเมิดสิทธิฟ้องคดีก็จะมีพนักงานอัยการคอยแก้คดีให้อยู่เสมอ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานอัยการนั้นก็มีหน้าที่คุ้มครองสิทธิเสรีภาพให้แก่ประชาชนเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ ตามมาตรา 32 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งบัญญัติว่า
“บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย ฯลฯ ในกรณีที่มีการกระทำซึ่งกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง ผู้เสียหายพนักงานอัยการ หรือบุคคลอื่นใด เพื่อประโยชน์ของผู้เสียหายมีสิทธิร้องต่อศาลเพื่อให้สั่งระงับ หรือเพิกถอนการกระทำเช่นว่านั้น รวมทั้งจะกำหนดวิธีการตามสมควร หรือการเยียวยาความเสียหายขึ้นด้วยก็ได้”
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น