**** คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๑/๒๕๕๖
แพ่ง ( มาตรา ๑๙๔, ๘๖๑ )
ป.วิ.อ. ( มาตรา ๔๖ )
ป.วิ.พ. ( มาตรา ๑๔๒ )
คดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๓ กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้รับอันตรายสาหัส และได้รับอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑, ๓๐๐, ๓๙๐ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓(๔), ๑๕๗ ไม่มีประเด็นโดยตรงว่าจำเลยที่ ๓ แข่งรถในทาง แม้ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ ๓ กระทำความผิดตามฟ้อง โดยปรากฏตามคำพิพากษาว่า จำเลย ( จำเลยที่ ๓ ในคดีนี้ ) กับ ส. ขับรถแข่งกันในทาง เป็นการหยิกยกข้อความตามรายงานการสืบเสาะและพินิจมาจากการใช้ดุลพินิจในการลงโทษจำเลย จึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖ ที่ศาลในคดีส่วนแพ่งจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีในส่วนอาญาถึงที่สุดว่าจำเลยที่ ๓ นำรถยนต์กระบะที่จำเลยที่ ๑ เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ไปขับแข่งขันจนเกิดอุบัติเหตุ จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ต้องร่วมรับผิดคืนเงินให้โจทก์ เท่ากับเป็นการถือเอาข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ในส่วนคดีอาญามารับฟังวินิจฉัยความรับผิดของจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว
ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๓ ขับรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ไปในการแข่งขันความเร็ว ต้องด้วยยกเว้นตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้แระสบภัยจากรถที่การประกันภัยไม่คุ้มครอง โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนใด ๆ ในกรณีนี้ เมื่อโจทก์ได้จ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนบางส่วนให้แก่จำเลยที่ ๑ ผู้เอาประกันภัย และบางส่วนให้แก่บริษัท ส. เพื่อนำไปชดใช้แก่ผู้ประสบภัยไปก่อนแล้ว จำเลยที่ ๑ ซึ่งต้องรับผิดต่อผู้ประสบภัยต้องใช้เงินจำนวนนั้นคืนโจทก์ตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ข้อ ๑๙
โจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ โดยบรรยายฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ ๑ เป็นคู่สัญญากันตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยโจทก์รับประกันการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถยนต์คันเกิดเหตุของจำเลยที่ ๑ ต่อมารถยนต์ดังกล่าวชนรถยนต์คันอื่นมีผู้ถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บ จำเลยที่ ๑ ผู้เอาประกันภัยได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนจากโจทก์เพื่อชดใช้แก่ผู้ประสบภัยโดยโจทก์ไม่มีความรับผิดต้องชดใช้เนื่องจากการประกันภัยไม่คุ้มครองโจทก์มีสิทธิเรียกเงินคืนอันเป็นการฟ้องเรียกเงินคืนโดยอาศัยความผูกพันตามสัญญาประกันภัย ดังนี้ จำเลยที่ ๑ แต่ผู้เดียวที่เป็นคู่สัญญากับโจทก์และเป็นผู้ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนไป ส่วนจำเลยที่ ๓ มิได้เป็นคู่สัญญาและไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ทั้งมิได้รับเงินไปจากโจทก์ด้วยจำเลยที่ ๓ จึงไม่มีความรับผิดต่อโจทก์ แม้จำเลยที่ ๓ มิได้ให้การต่อสู้คดีไว้ แต่เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น