จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การห้ามเลือกปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ
กุลพล พลวัน
          รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 มาตรา 30 วรรคสามบัญญัติว่า การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฯลฯ.... จะกระทำมิได้
          ต่อมาได้มีคำวินิจฉัยอันเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติที่น่าสนใจสองเรื่อง คือ
          คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ได้มีคำวินิจฉัยที่ 25/2543 สรุปได้ว่าโรงเรียนของราชการแห่งหนึ่ง ได้นำหลักเกณฑ์พิเศษมาเป็นหลักเกณฑ์ในการเลือกนักเรียนจากการสอบด้วย 4 ประการ โดยมิได้มีการประกาศให้สาธารณชนทราบทั่วไปถือได้ว่าเป็นการเลือกปฏิบัติขัดต่อ มาตรา 30 แห่งรัฐธรรมนูญฯ 2540 และรองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี พิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ทางมหาวิทยาลัยดำเนินการยกเลิกหลักเกณฑ์พิเศษนั้นเสีย
          คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 16/2545 ลงวันที่ 30 เมษายน 2545 ตามคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาวินิจฉัยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 26 (10) สรุปได้ว่า กรณีการไม่รับสมัครบุคคลที่เป็นโรคโปลิโอสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตุลาการนั้น ไม่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล และไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ฯ 2540 มาตรา 30 จึงไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
          จากอุทาหรณ์ของคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ที่ 25/2543 และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 16/2545 ดังกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นว่าปัญหาเรื่องการเลือกปฏิบัติได้ทวีความสำคัญมากขึ้นทุกที่ในสังคมไทยและเป็นสิ่งที่ควรสนใจอย่างยิ่ง การเลือกปฏิบัติ (Discrimination) นั้นเพิ่งบัญญัติเป็นครั้งแรกในประเทศไทยในรัฐธรรมนูญ ฯ 2540 มาตรา 30 สำหรับในระดับสากลถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งมาช้านาน โดยมีหลักการว่าทุกคนมีความเสมอภาคกันตามกฎหมาย และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกันโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติใด ๆ ดังปรากฏในข้อตกลงระหว่างประเทศในเรื่องการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเกือบทุกฉบับ เช่น ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ข้อ 7 กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิของพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ค.ศ. 1966 ข้อ 26 อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีทุกรูปแบบ ค.ศ. 1979 อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ. 1989 ข้อ 2 ฯลฯ
          คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิของพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ค.ศ. 1966 ของสหประชาชาติได้ตีความคำว่าเลือกปฏิบัติไว้ในการประชุมสมัยที่ 37 ค.ศ. 1989 ว่าหมายถึงการปฏิบัติที่แตกต่างกัน การกีดกัน การหน่วงเหนี่ยว หรือการลำเอียง ที่มีพื้นฐานมาจากเพศ ผิว เชื้อชาติ ศาสนา ฯลฯ
          ปัจจุบันกระแสแห่งสิทธิมนุษยชนได้เพิ่มมากขึ้นทุกขณะและทำให้การคุ้มครองบุคคลจากการเลือกปฏิบัติในเรื่องต่าง ๆ มีแนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้นตามลำดับ เช่น ปี พ.ศ. 2543 มลรัฐซานปรานซิสโกได้ตรากฎหมายเพิ่มข้อห้ามเหลือปฏิบัติต่อคนอ้วนซึ่งถูกเลือกปฏิบัติ เช่น การรับสมัครทำงาน การเช่าบ้าน การติดต่อกับธนาคาร ฯลฯ คนรักเพศเดียวกันได้รับการปฏิบัติที่ดีขึ้น เช่น กระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกาได้ยอมให้ชายที่รักเพศเดียวกันสมัครรับราชการทหารได้ หน่วยงานข่าวกรอง ซี ไอ เอ ยอมรับให้ชายรับเพศเดียวกันทำงานได้ อนุญาตให้ทหารอากาศหญิงขับเครื่องบินขับไล่ไอพ่นได้
          ประเทศเนเธอร์แลนด์ได้ตรากฎหมายให้คนเพศเดียวกันจดทะเบียนสมรสกันได้ ที่ประเทศแคนาดาได้ยินยอมให้ชายตาบอดร่วมเป็นกรรมการตัดสินการประกวดมิสทีนอัลเบอร์ต้าได้ เป็นต้น ฯลฯ
          สังคมไทยเป็นสังคมที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี มีน้ำใจเผื่อแผ่ดูแลห่วงใยกันทั้งในครอบครองและต่อบุคคลอื่นๆ ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องระมัดระวังอย่าให้มีมากเกินขอบเขต เพราะจะชักนำไปสู่ ระบบอุปถัมภ์” ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังในสังคมไทยมาช้านานและบั่นทอนความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติในทุกเรื่องจากนั้นจะชักนำไปสู่การเลือกปฏิบัติที่ขัดต่อกฎหมายในที่สุด
          สังคมไทยโชคดีที่การเลือกปฏิบัติในเรื่องเชื้อชาติ ผิว ภาษา ศาสนา ฯลฯ มีน้อยมากและนับแต่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฯ 2540 แล้ว ได้มีการตรากฎหมายหรือแก้ไขกฎ ระเบียบคุ้มครองสิทธิผู้ด้อยโอกาสในสังคมให้ดียิ่งขึ้น อาทิ ผู้พิการทางกาย เช่น ตาบอด หูหนวก แขนขาขาด ผู้ติดเชื้อเอดส์ คนสูงอายุ ชนกลุ่มน้อย ฯลฯ อย่างไรก็ดีการเลือกปฏิบัติหลายเรื่องกลับไปปรากฏเด่นชัดในระบบราชการซึ่งมีทั้งการเลือกปฏิบัติที่เป็นคุณและเป็นโทษ
          การเลือกปฏิบัติต่อประชาชนที่เป็นคุณก็เช่น การเอื้อประโยชน์ในด้านการค้า การประมูล การทำสัญญา ฯลฯ ระหว่างข้าราชการกับนักธุรกิจ หรือการเลือกปฏิบัติระหว่างข้าราชการด้วยกันเอง เช่น ในเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายการพิจารณาความดีความชอบ ด้วยเหตุผลต่าง ๆ อาทิ ความชอบพอกันเป็นส่วนตัวมีผลประโยชน์ร่วมกัน มีอิทธิพลทางการเมืองมาครอบงำ ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่อาจทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติในการสนับสนุนให้เป็นคุณแก่บุคคลนั้นเป็นกรณีพิเศษ และตัดสิทธิของบุคคลอื่นๆ ที่ควรได้รับการพิจารณาเท่าเทียมกัน
          การเลือกปฏิบัติที่เป็นโทษก็เช่น การเลือกปฏิบัติต่อประชาชนที่มาติดต่อขอรับบริการจากทางราชการ การเลือกปฏิบัติในทางราชก็เช่น การกีดกันสตรีในความก้าวหน้าทางราชการ การกลั่นแกล้งในเรื่องการมอบหมายงาน การแต่งตั้งโยกย้าย การพิจารณาความดีความชอบ ด้วยเหตุผลเรื่องส่วนตัว เพราะการขัดขวางผลประโยชน์ หรือการไม่เอื้อประโยชน์ต่าง ๆ ให้ตามที่ต้องการ ต่อมา คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ได้ตรากฎ ก.พ. กำหนดกระบวนการตรวจสอบข้อร้องเรียนเรื่องการเลือกปฏิบัติในทางราชการขึ้นด้วยแล้ว
          การเลือกปฏิบัตินี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้น พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง 2542 มาตรา 9 จึงบัญญัติว่าการที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ด้วยการออกกฎคำสั่งหรือกระทำอื่นใด อันมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ผู้ถูกลิดรอนสิทธิย่อมมีสิทธินำคดีฟ้องต่อศาลปกครองได้ และน่าเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้จะมีคดีอันเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติมาสู่การพิจารณาของศาลปกครองมากขึ้นอย่างแน่นอน
          สำหรับศาลรัฐธรรมนูญ ก็เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่จะมีบทบาทที่สำคัญในการคุ้มครองบุคคลจากการถูกเลือกปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่รัฐโดยไม่เป็นธรรมทั้งนี้โดยผ่านขั้นตอนการเสนอเรื่องจากผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาตามมาตรา 198 แห่งรัฐธรรมนูญ ฯ 2540 ซึ่งบัญญัติว่า ในกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมาย...หรือการกระทำของบุคคลใดตามมาตรา 197(1) มีปัญหาเกี่ยวกับความขอบด้านรัฐธรรมนูญ ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองเพื่อพิจารณาวินิจฉัย ฯลฯ
          มาตรา 198 นี้ เป็นกลไกสำคัญยิ่งประการหนึ่งในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ
          อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตว่าในทางปฏิบัติกฎหมายที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญนั้นมีน้อยมาก แต่การกระทำของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญนั้นอาจเกิดขึ้นมากมายและตลอดเวลา และจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 16/2545 ลงวันที่ 30 เมษายน 2545 ที่กล่าวถึงตอนต้นไว้วางหลักข้อกฎหมายมีข้อความตอนหนึ่งว่าการขอให้วินิจฉัยการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ซึ่งมีลักษณะเป็นการใช้ดุลพินิจ ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นั้นน่าจะไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของมาตรา 198 แห่งรัฐธรรมนูญ ฯ 2540 เพราะการกระทำของเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 198 ก็คือ การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่ต้องใช้ดุลพินิจเสมอ หากศาลรัฐธรรมนูญไม่รับวินิจฉัยการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐแล้ว มาตรา 198 ก็จะเกือบไร้ผลในทางปฏิบัติ
          คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น มาตรา 268 แห่งรัฐธรรมนูญ ฯ 2540 บัญญัติว่าให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาลและองค์กรอื่นของรัฐ
          ดังนั้น จึงขอฝากข้อคิดเห็นไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยว่าโอกาสต่อๆ ไป หากมีกรณีต้องวินิจฉัยในเรื่องการเลือกปฏิบัติหรือเรื่องอื่นๆ อันเกี่ยวกับการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นการใช้ดุลพินิจ ศาลรัฐธรรมนูญควรจะได้ทบทวนหลักข้อกฎหมายในเรื่องนี้ เพื่อให้การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมากยิ่งขึ้น
หมายเหตุ
          ต่อมาศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษาว่าการที่คณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ไม่รับสมัครผู้สมัครสอบคัดเลือกคนเดียวกันนี้ ด้วยสาเหตุจากการเคยเป็นโรคโปลิโอ เป็นการเลือกปฏิบัติอันไม่เป็นธรรม
          อนึ่ง รองผู้ว่าการมลรัฐนิวยอร์คคนปัจจุบันก็เป็นคนผิวสีและตาบอดแสดงให้เห็นว่าในต่างประเทศความพิการมิใช่ข้อขัดข้องในการดำรงตำแหน่งใด ๆหากเขามีความสามารถที่จะปฏิบัติงานในตำแหน่งนั้นๆ ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น