จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

พรากผู้เยาว์มาตรา 318 เน้น

ฎีกา 4523/2554 พรากผู้เยาว์มาตรา 318
คำว่า บิดาหรือผู้ดูแล ตาม ป.อ. มาตรา 318วรรคแรก ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วยนั้น หมายรวมถึง บิดาหรือผู้ดูแลผู้เยาว์ตามความเป็นจริงด้วย แม้จะเป็นบิดามารดาหรือผู้ปกครองตามกฎหมายดังกล่าว หากไม่ได้ใช้อำนาจปกครอง ดูแลผู้เยาว์ก็อาจสิ้นสุดลงได้ และความปกครองดูแลโดยพฤตินัยนั้นก็อาจสิ้นสุดลงได้เช่นกัน คดีนี้ ส. บิดาผู้เสียหายได้แยกทางกับมารดาผู้เสียหายและไปมีภริยาใหม่ ส่วนมารดาผู้เสียหายได้ถึงแก่ความตายไปแล้ว 1 ปีก่อนเกิดเหตุ ส่วน ส. บิดาของผู้เสียหายก็ไม่ได้อุปการะเลืั้ยงดูผู้เสียหายมานาน 7 ปีแล้ว และผู้เสียหายไปอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของ บ. ผู้เป็นยาย ผู้เสียหายจึงมิได้อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูและอำนาจปกครองของ ส. ผู้เป็นบิดาแล้ว ส่วน บ. แม้เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูผู้เสียหายอยู่ก่อนเกิดเหตุ แต่ก่อนเกิดเหตุประมาณสิบกว่าวัน ผู้เสียหายได้หลบหนีออกจากบ้าน บ. ไปอยู่กับ ด. ผู้เป็นพี่สาวและรับจ้างทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้านคาราโอเกะซึ่งอยู่ต่างอำเภอกัน ทั้ง บ. ก็ไม่ทราบว่าผู้เสียหายหลบหนีไปอยู่ที่ไหนกับผู้ใด และติดตามหาไม่พบ ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุ 15 ปีเศษแล้วและเคยออกจากบ้านไปอยู่กินฉันสามีภริยากับ ป. มาก่อน แสดงว่าผู้เสียหายโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ชีวิตไม่น้อย พฤติการณ์บ่งชี้ว่าผู้เสียหายสมัครใจหลบหนีออกจากบ้านเจตนาไปทำงานเลี้ยงชีพพึ่งตนเองโดยลำพังไม่ประสงค์จะพึ่งพาอาศัยอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูและในความดูแลของ บ.ผู้เป็นยายอีกต่อไป ผู้เสียหายจึงขาดจากความดูแลของ บ. ผู้เป็นยายแล้ว หาใช่ว่า ผู้เสียหายไปจากความดูแลของ บ. เพียงชั่วคราว และถือว่าขาดจากอำนาจปกครองดูแลของ ส. ผู้เป็นบิดาและความดูแลของ บ. ผู้เป็นยายแล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสี่ ถือไม่ได้ว่าเป็นการพรากผู้เสียหายไปเสียจากความดูแลของบิดาและยายของผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยทั้งสี่ไม่เป็นความฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปีแต่ยังไม่เกิน 18 ปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลโดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วย ตาม ป.อ. มาตรา 318
คำถาม ผู้ร่วมวางแผนในการกระทำความผิด หากขณะกระทำความผิดไม่ได้รออยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุที่จะมีเวลาเพียงพอที่จะช่วยเหลือพวกในขณะกระทำความผิดได้ จะถือเป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิดหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 74/2555 แม้จำเลยที่ 2 จะร่วมวางแผนกับจำเลยที่ 1 และ ส. มาก่อนเกิดเหตุเพื่อที่จะมากระทำความผิดก็ตาม แต่ขณะที่จำเลยที่ 1 และ ส. กระทำความผิดเอาทรัพย์ของผู้ตายไป จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์แยกทางออกไปก่อน ไม่ได้รออยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุที่จะมีเวลาเพียงพอที่จะช่วยเหลือจำเลยที่ 1 และ ส. ในขณะกระทำความผิดได้ จึงไม่ใช่เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำอันจะเป็นตัวการในการกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และ ส. ได้ จำเลยที่ 2 คงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการ กระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และ ส. เท่านั้น หาใช่ร่วมกันเป็นตัวการกระทำความผิดชิงทรัพย์ด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป อันจะเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ด้วยไม่
คำถาม การร่วมกันไปทำร้ายผู้อื่นจนได้รับอันตรายสาหัสเป็นการชุลมุนต่อสู้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299 หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 738 - 739/2555 ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299 ต้องเป็นกรณีชุลมุนต่อสู้กันระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และมีบุคคลได้รับอันตรายสาหัส ซึ่งหมายถึงกรณีไม่ทราบว่าผู้ใดหรือบุคคลใดร่วมกับใครทำร้ายจนได้รับอันตรายสาหัส แต่จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกใช้มีดและเหล็กแป็บฟันและตีผู้เสียหายทั้งสองได้รับอันตรายสาหัส จึงไม่ใช่เป็นการชุลมุนต่อสู้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299
คำพิพากษาฎีกาที่ 7235/2553 กรณีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 299 นั้นต้องเป็นการชุลมุนต่อสู้กันระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และมีบุคคลได้รับอันตรายสาหัสโดยไม่ทราบว่าผู้ใดหรือผู้ใดร่วมกับใครทำร้ายจนได้รับอันตรายสาหัส แต่หากสามารถรู้และแบ่งฝ่ายแบ่งพวกกันได้ ทั้งรู้ว่าผู้ใดหรือฝ่ายใดเป็นผู้ลงมือทำร้ายย่อมลงโทษผู้นั้นกับพวกได้ตามเจตนาและผลของการกระทำ เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ความว่าจำเลยกับพวกฝ่ายหนึ่งและผู้เสียหายกับพวกฝ่ายหนึ่งวิวาทต่อสู้กัน แล้วพวกของจำเลยเป็นผู้ใช้มีดฟันทำร้ายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ย่อมมิใช่กรณีตาม ป.อ. มาตรา 299 และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ที่ใช้มีดฟันทำร้ายผู้เสียหาย คือ น. ซึ่งเป็นพวกของจำเลยที่เข้าร่วมในการทะเลาะวิวาทกับผู้เสียหายด้วย จำเลยซึ่งมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายย่อมต้องรับผลอันเป็นธรรมดาย่อมเกิดขึ้นจากการนั้นในฐานเป็นตัวการ แม้มิได้เป็นผู้ลงมือใช้มีดฟันทำร้ายผู้เสียหายด้วยตนเองก็ตาม
คำถาม การพาเด็กไป โดยมิได้มีเจตนาที่จะเรียกร้องเอาทรัพย์สินเพื่อเป็นค่าไถ่ แต่เรียกร้องเอาทรัพย์สินที่เชื่อว่าควรจะได้ จะเป็นความผิดฐานใด
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 9046/2554 จำเลยและผู้เสียหายรู้จักคุ้นเคยกันมานาน จำเลยเคยเลี้ยงดูบุตรคนอื่นของผู้เสียหายก่อนเกิดเหตุมาแล้ว 2 คน การที่จำเลยพาเด็กหญิง ฟ. ไปจากผู้เสียหายตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2549 ในวันดังกล่าวจำเลยและผู้เสียหายได้พูดคุยกันทางโทรศัพท์ จำเลยก็ไม่ได้เรียกร้องทองคำและเงินจาก อ. ในทันที จำเลยพึ่งจะโทรศัพท์ถึง ต. น้องสาวผู้เสียหายในวันที่ 11 มิถุนายน 2549 และมีการพูดคุยให้ผู้เสียหายนำทองคำหนัก 5 บาท และให้ อ. นำเงินจำนวน 500,000 บาทไปมอบให้แก่จำเลย จึงน่าเชื่อว่าการที่จำเลยพาเด็กหญิง ฟ. ไปจากผู้เสียหาย จำเลยมิได้มีเจตนาที่จะเรียกร้องเอาทองคำและเงินจำนวนดังกล่าวจากผู้เสียหาย และ อ. เพื่อเป็นค่าไถ่มาตั้งแต่แรก การที่จำเลยโทรศัพท์ถึง ต. น้องสาวผู้เสียหายในวันที่ 1 มิถุนายน 2549 และมีการเรียกร้องเอาทองคำจากผู้เสียหายและเงินจาก อ. ก็ได้ความว่าเป็นการเรียกร้องเอาทองคำเท่ากับจำนวนที่จำเลยมอบทองคำให้ผู้เสียหายไปจำนำ ส่วนจำนวนเงินที่จำเลยเรียกร้องจาก อ.นั้น แม้จะเป็นจำนวนเกินกว่าที่จำเลยอ้างว่า อ. เป็นหนี้จำเลย แต่ก็ได้ความว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินค่าที่ดินที่ อ. จะต้องคืนให้แก่จำเลย โดยจำเลยให้การด้วยว่าจำเลยได้ลงทุนปรับที่ดินที่ซื้อจาก อ. และใช้เงินไปมากแล้ว ทั้งข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่า อ. เป็นญาติหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้เสียหายหรือเด็กหญิง ฟ. ที่จำเลยจะใช้เป็นเงื่อนไขในการเรียกร้องเงินจาก อ. จึงน่าเชื่อว่าจำเลยมีเจตนาที่จะเรียกร้องเอาทองคำและเงินที่จำเลยเชื่อว่าจำเลยควรจะได้ ดังนั้น ทองคำและเงินที่จำเลยเรียกร้องจากผู้เสียหายและ อ. ดังกล่าวจึงมิใช่ค่าไถ่ตาม ป.อ.มาตรา 1 (13) การกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 313 แต่การที่จำเลยพาเด็กหญิง ฟ. ซึ่งมีอายุเพียง 1 ปีเศษ ไปจากผู้เสียหายและไม่ยอมคืนให้แก่ผู้เสียหายดังกล่าว เป็นการหน่วงเหนี่ยวเด็กหญิง ฟ. อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 310 วรรคแรก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานเรียกค่าไถ่ตาม ป.อ. มาตรา 313 (3) วรรคแรก ที่โจทก์ฟ้อง ศาลฎีกาจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 310 วรรคแรกได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย

1 ความคิดเห็น:

  1. พอดีเเฟนหนูอายุ20แล้วหนูอายุ14วันนั้นหนูไปนอนกับแฟนหนูตอนกลางวันพอตอนกลับบ้านถึงบ้านแร้วแหละแต่เจอพ่อเราก้อเลยกลัวเลยกลับไปนอนกับแฟน1คืนจากนั้นหนูก้อเลยโทรไห้น้าหนูมารับแต่พ่อหนูแจ้งตำรวจไว้แร้วแฟนหนูเลยโดนคดีภาคผู้เยาทางครอบครัวเลยไห้แฟนหนูมาขึ้นผีไห้แต่หนูกลัวเเฟนหนูโดนจับ #อยากทราบว่าถ้าแฟนหนูโดนจับจะกี่ปีและจะทำไงถึงจะพ้นโทษ

    ตอบลบ