จำนวนการดูหน้าเว็บรวม
วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
*** คงมาถึงเรื่องที่สำคัญที่ออกสอบบ่อยๆ เรื่องสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับ ตาม ม.39 ผมจะไล่เรียงแยกไปตาม อนุมาตราที่ มีฎีกาสำคัญๆและน่าสนใจ เร่มกันที่ อนุมาตรา 1 โดยความตายของผู้กระทำผิด ** มีฎีกาที่น่าสนใจ 2 ตัว ลงไว้ท้ายสรุปย่อ
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับ ตามมาตรา ๓๙
-เมื่อสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปหลังจากที่มีการฟ้อง ศาลต้องจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ มิใช่พิพากษายกฟ้อง และถ้าเป็นคำสั่งจำหน่ายของศาลสูงก็มีผลทำให้คำพิพากษาของศาลล่างระงับไปในตัว ไม่ต้องพิพากษายกฟ้อง(ฎ.๘๓๐๘/๔๓) หากสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปก่อนที่โจทก์จะนำคดีมาฟ้อง ถือว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องมาแต่ต้น ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง
- กรณีที่โจทก์ตาย ไม่เป็นเหตุให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไป(ฎ๒๓๔๙/๔๗) แต่หากจำเลยถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงระงับไปตามมาตรา ๓๙(๑) และโทษก็เป็นอันระงับไปด้วยความตายของผู้กระทำผิดตาม ป.อ.มาตรา ๓๘
คำสั่งศาลฎีกาที่ 1384/2555 ***หากผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องเอง คดีในส่วนแพ่งต้องมีการรับมรดกความตาม วิ.แพ่ง มาตรา 42 เน้นให้เข้าใจ (ผมเองก็เคยสับสน เนื่องจากหากผู้เสียหายเข้าร่วมเป็นโจทก์ไม่ใช่การฟ้องเอง ต้องอาศัยคดีอาญาเป็นหลัก เมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (1) คำขอให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนย่อมตกไปด้วย)
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) มาตรา 44/1
คดีนี้พนักงานอัยการเป็นโจทก์ แม้ผู้เสียหายจะเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการและยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม ป.วิ.อ.มาตรา 44/1 ก็ตามแต่ก็ต้องอาศัยคดีอาญาเป็นหลัก เมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (1) คำขอให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนย่อมตกไปด้วยจึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4162/2554
พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ (มาตรา 32 วรรคสอง)
พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯมาตรา 32 วรรคสอง บัญญัติว่า“...แต่ถ้าไม่อาจดำเนินคดีต่อได้ เพราะเหตุที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยรายใดถึงแม้ความตายให้ทรัพย์สินตกเป็นของกองทุน เว้นแต่ภายในสองปีนับแต่วันที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นถึงแม้ความตาย และทายาทของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นสามารถพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นไม่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นได้ทรัพย์สินดังกล่าวมาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน หรือได้มาตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางกุศลสาธารณะก็ให้คืนทรัพย์สินนั้นให้แก่ทายาทของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้น” ดังนั้น แม้คดีอาญาทั่วไปจำเลย (ผู้คัดค้าน) ถึงแก่ความตาย สิทธิในการฟ้องคดีอาญาย่อมระงับไปก็ตาม แต่ในการริบทรัพย์สินตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ นั้น เป็นบทบัญญัติของกฎหมายพิเศษที่บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะว่า คดีไม่ระงับแต่ต้องดำเนินคดีต่อไปภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวฉะนั้น เมื่อจำเลย (ผู้คัดค้าน) ถึงแก่ความตาย ทรัพย์สินตามคำร้องย่อมตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดโดยผลของกฎหมาย
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น