จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

*** วิ.อาญามาตรา 30 การขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ มี ฎีกาที่น่าสนใจ 2 ตัว รอช่วงค่ำๆ ครับ ค้นไม่เจอ แต่หากใครเจอ คือ ฎ.สองตัวนี้นะ ฎ.4562/2555 และ ฎ.7530/2555 ตอนนี้เอาสรุปย่อไปก่อนครับ

*** วิ.อาญามาตรา 30 การขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ มี ฎีกาที่น่าสนใจ 2 ตัว รอช่วงค่ำๆ ครับ ค้นไม่เจอ แต่หากใครเจอ คือ ฎ.สองตัวนี้นะ ฎ.4562/2555 และ ฎ.7530/2555 ตอนนี้เอาสรุปย่อไปก่อนครับ 

โจทก์ร่วม( มาตรา ๓๐,๓๑) 
กรณีผู้เสียหายเข้าร่วมกับพนักงานอัยการ(มาตรา ๓๐)
ผู้เสียหาย หมายความถึง ผู้เสียหายตามมาตรา ๒(๔) และผู้มีอำนาจจัดการแทนตามมาตรา ๔,๕,๖, 
- ต้องขอเข้าร่วมก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา แต่ถ้าอัยการเข้าร่วมเป็นโจทก์ ต้องขอก่อนคดีเสร็จเด็ดขาด
- ผู้เสียหายเท่านั้นที่มีอำนาจขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญาที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาล(ฎ.3252/45) 
- ความผิดต่อ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ, ความผิดตาม ป.อ.มาตรา ๓๗๑,ความผิดตามพ.ร.บ.จราจรทางบก, รัฐเท่านั้นเสียหาย เอกชนจะเข้าเป็นโจทก์ร่วมไม่ได้ (ฎ.๑๑๔๑/๓๑,๑๙๑/๓๑)
- ** ความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากรและความผิดต่อ พ.ร.บ.ให้บำเหน็จฯ เป็นความผิดต่อรัฐ รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย แม้ผู้จับมีสิทธิได้รับรางวัลนำจับก็ไม่ใช่ผู้เสียหาย เนื่องจากการกระทำความผิดดังกล่าว ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมไม่ได้(ฎ.๓๗๙๗/๔๐) ในกรณีเช่นนี้หากศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการโดยไม่ได้ระบุชัดว่าเข้าร่วมในความผิดฐานใด ก็หมายถึงอนุญาตให้เข้าร่วมเฉพาะในความผิดที่เข้าเป็นโจทก์ร่วมได้เท่านั้น(ฎ.๒๑๑๐/๔๘) เรื่องนี้บิดาผู้ตายขอเข้าร่วมได้แต่เฉพาะฐานฆ่าผู้อื่น ส่วนฐานทำลายพยานหลักฐานไม่ใช่ความผิดต่อสาธารณชน แต่เป็นความผิดเกี่ยวกับรัฐโดยตรง จึงเข้าร่วมไม่ได้ เมื่อเข้าร่วมไม่ได้ก็ใช้สิทธิอุทธรณ์ไม่ได้
- ผู้ที่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด เพราะเป็นเรื่องวิวาททำร้ายกัน จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมไม่ได้ แม้ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วมและโจทก์ร่วมอุทธรณ์ต่อมาก็ตาม ก็ถือว่าเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ(ฎ.๒๗๙๔/๑๖) ผลก็คือเท่ากับไม่มีการเข้าร่วมเป็นโจทก์ การอุทธรณ์ก็เท่ากับไม่ได้อุทธรณ์ 
-ถ้าศาลอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วมแล้ว แม้ภายหลังศาลจะยกคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมก็ตาม แต่ ก็ไม่ทำให้การดำเนินคดีของโจทก์ร่วมที่ทำไปแล้วเสียไป(ฎ.๑๘๖/๑๔)พยานหลักฐานที่ได้อ้างอิงไว้แล้วศาลย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานสำหรับคดีนั้นได้
-** โจทก์ร่วมเคยขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับอัยการ และได้ขอถอนตัวจากการเป็นโจทก์ร่วมไปแล้ว มีผลเท่ากับขอถอนฟ้องในส่วนของโจทก์ร่วมเสร็จเด็ดขาดแล้ว ดังนี้ต่อมาโจทก์ร่วมจะขอเข้าเป็นโจทก์อีกไม่ได้ ต้องห้ามตามมาตรา ๓๖ (ฎ๗๒๑๔/๔๔) ทั้งนี้เพราะการเข้าเป็นโจทก์ร่วมถือว่าเป็นการฟ้อง
- กำหนดเวลาขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ต้องก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา ดังนั้นหากศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว ผู้เสียหายจะขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมเพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์ ฎีกา หาได้ไม่(ฎ๓๙๒/๑๒)
- ศาลต้องสั่งคำร้องขอของโจทก์ก่อนว่าอนุญาต จึงจะเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ การสั่งว่า “สำเนาให้ทุกฝ่ายไว้พูดกันวันนัด” พอถึงวันนัดจำเลยรับสารภาพจึงตัดสินคดีไปทีเดียว กรณีนี้ถือว่ายังไม่ได้อนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วม(ฎ๑๑๓๗/๙๔) แต่ถ้าศาลยังไม่สั่งคำร้อง แต่มีการดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาเช่นสืบพยานและอื่นๆต่อมาในฐานะโจทก์ร่วม เป็นพฤติการณ์ที่ศาลอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วมแล้ว(ฎ๓๒๓/๑๐ ป.)
-เมื่อศาลอนุญาตแล้วต้องถือคำฟ้องของอัยการเป็นหลัก ดังนี้ถ้าศาลพิพากษายกฟ้องเพราะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมตกไปด้วย(ฎ.๑๕๘๓/๑๓,๑๙๗๔/๓๙)
- โจทก์ร่วมจะใช้สิทธินอกเหนือไปจากสิทธิของอัยการไม่ได้ จึงไม่มีอำนาจแก้และเพิ่มเติมฟ้องของอัยการ(ฎ.๓๘๓๓/๒๕) อย่างไรก็ตามแม้โจทก์ร่วมจะขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องไม่ได้ แต่มีสิทธิระบุพยานหรือขอสืบพยานเพิ่มเติมได้(ฎ.๕๖๘/๑๓)
- ในคดีที่พนักงานอัยการไม่มีอำนาจขอให้คืนหรือใช้ราคาแทนผู้เสียหาย คำขอของโจทก์ร่วมที่ขอให้ถือเอาตามคำฟ้องของอัยการย่อมตกไปด้วย(ฎ.๓๖๖๗/๔๒)
- ในคดีอาญาที่อยู่ในอำนาจของศาลแขวงและมีคำขอในส่วนแพ่งด้วย แม้คำขอส่วนแพ่งนั้นจะมีทุนทรัพย์เกินอำนาจของศาลแขวง พนักงานอัยการก็มีอำนาจต่อศาลแขวงได้ แต่โจทก์ร่วมไม่อาจถือเอาคำขอส่วนแพ่งนั้นเป็นคำขอของตนได้ โจทก์ร่วมจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ให้จำเลยรับผิดในส่วนแพ่งได้(ฎ.๔๑๑๙/๒๘)
- พนักงานอัยการและโจทก์ร่วมต่างมีฐานะเป็นโจทก์ด้วยกัน ดังนี้หากพนักงานอัยการไม่มาในวันนัดพิจารณาแต่โจทก์ร่วมมาจะถือว่าโจทก์ขาดนัดและยกฟ้องตามมาตรา ๑๖๖ ไม่ได้(ฎ.๑๕๑๙/๙๗)
- สิทธิในการยื่นอุทธรณ์ ฎีกา เป็นสิทธิเฉพาะตัวของคู่ความ โจทก์ร่วมจะขอถือเอาฎีกาของพนักงานอัยการโจทก์เป็นฎีกาของโจทก์ร่วม และขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกาของโจทก์ไม่ได้ (ฎ.๓๒๙๒/๓๒)
- ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีที่ผู้เสียหายอื่นยื่นฟ้องไม่ได้ เพราะ มาตรา ๓๐,๓๑ บัญญัติให้ผู้เสียหายและพนักงานอัยการเข้าร่วมเป็นโจทก์กับคดีที่อีกฝ่ายหนึ่งได้ฟ้องเท่านั้น แสดงว่ากฎหมายประสงค์ให้มีการเข้าร่วมเป็นโจทก์ร่วมไว้เฉพาะสองกรณีดังกล่าวเท่านั้น (ฎ.๓๓๒๐/๒๘) และอาศัยมาตรา ๕๗ แห่ง ป.วิ.พ. มาใช้บังคับก็ไม่ได้(ฎ๓๙๓๕/๒๙)
- เมื่อผู้เสียหายได้รับอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วมแล้ว ผู้เสียหายจึงมีฐานะเป็นโจทก์จะนำเรื่องเดียวกันนั้นฟ้องจำเลยอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้อน ตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา ๑๓๗
- การขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมก็คือการฟ้องคดีนั่นเอง แต่ไม่ได้ทำเป็นคำฟ้อง เป็นเพียงคำร้องเท่านั้น ดังนี้ทนายความลงชื่อแทนโจทก์ได้ไม่ต้องห้ามตามมาตรา ๑๕๘(๗)(ฎ.๖๒๙/๐๑)
- ผู้เยาว์ฟ้องคดีเองไม่ได้ ต้องมีผู้จัดการแทนตามมาตรา ๕ และจะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับอัยการไม่ได้ แม้จะได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม (ฎ.๕๖๓/๑๗)
-** เมื่อศาลชั้นต้นตัดสินคดีแล้ว แม้พนักงานอัยการไม่อุทธรณ์โจทก์ร่วมก็มีสิทธิอุทธรณ์แต่ผู้เดียว(ฎ.๒๓๘๑/๔๒) แต่ถ้าพนักงานอัยการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยโจทก์ร่วมไม่ได้อุทธรณ์ด้วยเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้วโจทก์ร่วมไม่มีสิทธิฎีกา ถือว่าคดีระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยมิได้ว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา ๒๔๙ ประกอบ ป.วิ.อาญา มาตรา ๑๕(ฎ.๗๑๐๐/๔๐)
- พนักงานอัยการและโจทก์ร่วมต่างมีฐานะเป็นโจทก์ด้วยกัน ดังนั้นแม้โจทก์ร่วมเป็นผู้อุทธรณ์ฝ่ายเดียว และศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานใหม่ พนักงานอัยการก็มีสิทธิสืบพยานต่อไป (ฎ.๑๐๐๐/๑๒ ป.)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น